กิจกรรม การเรียนรู้ที่ 2 การมีส่วนร่วมรับผิดชอบในฐานะพลเมืองที่ดีของสังคม
การมีส่วนร่วมรับผิดชอบในฐานะพลเมืองที่ดีของสังคม
ที่คำนึงถึงสิทธิมนุษย์ชนและอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ผลการเรียนรู้
1. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นพลเมืองโลก
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความเป็นธรรมในสังคม ค่านิยมและสภาพการณ์ การพัฒนาที่ยั่งยืน
สิทธิมนุษย์ชน การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และความหลากหลาย
2. คิดวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์
ความจริงใกล้ตัว และสถานการณ์โลกปัจจุบัน
3. เลือกประเด็นและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจง
และสัมพันธุ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นกับระดับโลกในภาพกว้าง
กิจกรรม
1. แนวคิดเกี่ยวกับพลเมืองดี
การที่เราจะเป็นบุคคลในสังคมประชาธิปไตยยังต้องรู้หลักการเป็นพลเมืองที่ดี ในสังคมประชาธิปไตย การอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย สมาชิกทุกคนจะต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนทั้งต่อตนเอง ต่อครอบครัวชุมชน สังคมและประเทศชาติ รู้จัก การทำงานร่วมกันมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในกิจกรรมทางสังคม ดูแลรักษาสาธารณประโยชน์ สิ่งแวดล้อมของชุมชนและประเทศชาติ นำหลักคุณธรรมมาใช้ ในกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งถ้าทุกคนตระหนักถึงความสำคัญและปฏิบัติตน เป็นพลเมืองที่ดีทั้งต่อชุมชน สังคมและประเทศชาติแล้ว ย่อมเป็นสิ่งจรรโลงให้การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีความมั่นคงยืนนานตลอดไปและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่าง มีความสงบสุข
2. หลักการเกี่ยวกับสิทธิมนุษย์ชน
2.1สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิเฉพะของมนุษย์แต่ละคนที่ไม่สามารถโอนให้กันและกันได้
2.2 สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ และต้องพึ่งพิงกันและกัน2.3 สิทธิมนุษยชน เป็นวิถีทางที่นำไปสู่สันติภาพและพัฒนาที่ยั่งยืน2.4 สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่บุคคลพึงมีในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์2.5 สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีความเท่าเทียมกันอย่างเป็นสากลและตลอดไป
2.2 สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ และต้องพึ่งพิงกันและกัน2.3 สิทธิมนุษยชน เป็นวิถีทางที่นำไปสู่สันติภาพและพัฒนาที่ยั่งยืน2.4 สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่บุคคลพึงมีในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์2.5 สิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีความเท่าเทียมกันอย่างเป็นสากลและตลอดไป
3. การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองและวิธีการดำเนินชีวิต
ซึ่งยึดหลักของความเสมอภาค เสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน
และอำนาจอธิปไตยต้องมาจากปวงชน
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากในโลกปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศต่างๆ แม้จะมีรูปแบบการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็อ้างว่าประเทศของตนเป็นประชาธิปไตยกันทั้งสิ้น ในประเทศสังคมนิยมหลายประเทศ เช่น อดีตสหภาพโซเวียต และจีน ต่างก็อ้างว่าประเทศของตน ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยในอีกแง่หนึ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ กล่าวคือ ยินยอมให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในขอบเขตที่จำกัด ส่วนการดำเนินการทางการเมือง ยังคงตกอยู่ในมือของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากนี้ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทย หลังจากได้รับเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ในสมัยของประธานาธิบดีซูการ์โน ได้ประกาศใช้ระบอบประชาธิปไตยนำวิถี จากความหลากหลายของการให้ความหมายนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ในที่นี้จะขออธิบายประชาธิปไตยในความหมายของเสรีประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยแบบตะวันตกเท่านั้น
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากในโลกปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศต่างๆ แม้จะมีรูปแบบการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็อ้างว่าประเทศของตนเป็นประชาธิปไตยกันทั้งสิ้น ในประเทศสังคมนิยมหลายประเทศ เช่น อดีตสหภาพโซเวียต และจีน ต่างก็อ้างว่าประเทศของตน ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยในอีกแง่หนึ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ กล่าวคือ ยินยอมให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในขอบเขตที่จำกัด ส่วนการดำเนินการทางการเมือง ยังคงตกอยู่ในมือของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากนี้ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทย หลังจากได้รับเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ในสมัยของประธานาธิบดีซูการ์โน ได้ประกาศใช้ระบอบประชาธิปไตยนำวิถี จากความหลากหลายของการให้ความหมายนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ในที่นี้จะขออธิบายประชาธิปไตยในความหมายของเสรีประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยแบบตะวันตกเท่านั้น
4. วิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์
ความจริงใกล้ตัว และสถานการณ์โลกปัจจุบัน
เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้อ่านบทความหนึ่งชื่อว่า
“บทเรียนกรณี 'อากง' กับปัญหาสิทธิมนุษยชนไทย” เป็นการบอกเล่าข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นบางประการเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำพล
ตั้งนพกุล หรือ ‘อากง’ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ซึ่งบทความดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมของไทยและที่สำคัญคือประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย
ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา
112 ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในแง่มุมทาง ‘กฎหมาย’ และ ‘การเมือง’
อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่ม ‘นิติราษฎร์’ ซึ่งนำโดย อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะรวม 7 คน ออกมาประกาศเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา
112 ในเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งต่อมาไม่นานก็เป็นที่สนใจอย่างกว้างขวางทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน
ต่อมาในปลายปีเดียวกันนั้นเอง
นิติราษฎร์ก็ได้จัดงานครบรอบ ‘5 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.49’ พร้อมทั้งได้ประกาศข้อเสนอ 4 ประการเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม ได้แก่
ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19
กันยายน 2549
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
กระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาหรือจำเลย และเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหลังรัฐประหาร
ยกเลิกรัฐธรรมนูญ
2550 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
จะเห็นได้ว่า
‘มาตรา 112’ ก็เป็นปัญหาสำคัญที่นิติราษฎร์เห็นว่าควร
‘แก้ไข’ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการต่อต้าน
‘รัฐประหาร’ การต่อต้าน ‘รัฐธรรมนูญเผด็จการ’ และการเยียวยา ‘ผู้ได้รับความเสียหาย’ จากเหตุการณ์ทางการเมือง
ทำให้นิติราษฎร์ได้รับทั้ง ‘ดอกไม้’ และ
‘ก้อนหิน’ ในเวลาเดียวกัน
จนท้ายที่สุดต้องส่งไม้ต่อให้คณะรณรงค์แก้ไข ม.112 หรือ ‘ครก.112’ ในเวลาต่อมา
ตัวกฎหมาย
‘มาตรา 112’ นี้ผมจะไม่กล่าวถึงมากนัก เพราะได้อธิบายไปพอสมควรแล้วในบทความที่ผ่านมา[1] แต่จะขอเสนอความเห็นของทั้งฝ่ายที่ ‘เห็นด้วย’
และ ‘ไม่เห็นด้วย’ ในการแก้ไขมาตรา
112 รวมถึงท่าทีของนานาชาติต่อกรณีดังกล่าว เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้พินิจพิจารณาว่าเหตุใดเราจึง
‘ควรแก้’ หรือ ‘ไม่ควรแก้’
กฎหมายมาตรานี้
5. ประเด็นที่เชื่อมโยงเรื่องราว
และมีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างในระดับท้องถิ่นกับระดับโลก
ในภาพกว้าง
“ มีเสียงพูดกันถี่ขึ้นถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันติด ปากว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"บางคนก็บอกว่าต้องยกเลิกเพราะไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง ขัดต่อรัฐธรรมนูญบ้าง เป็นการขัดขวางต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้าง บ้างก็ว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่ เพราะโทษที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินไป น่าจะไม่ชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชน ความคิดเห็นที่แตกต่างหรือการคิดปรับปรุงกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงนั้น ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละบุคคลที่จะคิดได้ ถกเถียงกันได้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครผิดหรือใครถูกทำให้มีคนบริสุทธิ์ถูกกล่าวหาความยุติธรรมก็จะไม่มีในสังคมโลก ถ้าเกิดมีคนมากล่าวหาว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลยเราก็ต้องติดคุกโดยไม่อาศัยหลักฐานใดๆประเทศคงมีแต่คนชั่วเต็มบ้านเมือง อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนต้องการความยุติธรรมไม่ใช่จะมาใส่ร้ายกันแล้วโดนคดีจนติดคุกจนเสียชีวิตในคุกมันก็ไม่ถูก
“ มีเสียงพูดกันถี่ขึ้นถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันติด ปากว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"บางคนก็บอกว่าต้องยกเลิกเพราะไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง ขัดต่อรัฐธรรมนูญบ้าง เป็นการขัดขวางต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้าง บ้างก็ว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่ เพราะโทษที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินไป น่าจะไม่ชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชน ความคิดเห็นที่แตกต่างหรือการคิดปรับปรุงกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงนั้น ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละบุคคลที่จะคิดได้ ถกเถียงกันได้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครผิดหรือใครถูกทำให้มีคนบริสุทธิ์ถูกกล่าวหาความยุติธรรมก็จะไม่มีในสังคมโลก ถ้าเกิดมีคนมากล่าวหาว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลยเราก็ต้องติดคุกโดยไม่อาศัยหลักฐานใดๆประเทศคงมีแต่คนชั่วเต็มบ้านเมือง อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนต้องการความยุติธรรมไม่ใช่จะมาใส่ร้ายกันแล้วโดนคดีจนติดคุกจนเสียชีวิตในคุกมันก็ไม่ถูก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น